
นายแพทย์ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุว่า กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงได้แก่ เกษตรกร ผู้ที่ทำงานสัมผัสกับดินและน้ำโดยตรง รวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคไตเรื้อรัง และโรคธาลัสซีเมีย
สถานการณ์และอาการของโรค
จากข้อมูลของกองระบาดวิทยา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 9 กรกฎาคม 2568 พบผู้ป่วยโรคเมลิออยโดสิสแล้ว 1,676 ราย และเสียชีวิต 72 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่พบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดมุกดาหาร ยโสธร บึงกาฬ นครพนม และบุรีรัมย์ กลุ่มอายุที่พบสูงสุดคือ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งโรคนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง เช่น ผ่านบาดแผลตามผิวหนัง การหายใจเอาฝุ่นดินปนเปื้อนเชื้อ หรือการดื่มน้ำ/รับประทานอาหารที่ปนเปื้อน
อาการของโรคมีความหลากหลายและไม่จำเพาะเจาะจง มักเริ่มต้นด้วยไข้สูง ร่วมกับอาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ หายใจหอบเหนื่อย หรืออาจมีฝีที่ผิวหนัง ปอด ตับ หรือม้าม ในรายที่รุนแรงอาจมีการติดเชื้อในกระแสเลือดซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
การป้องกันและรักษา
โรคเมลิออยโดสิสสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะการให้ยาปฏิชีวนะอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์
กรมควบคุมโรคแนะนำวิธีการป้องกันดังนี้:
- สวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน: หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลน หรือสัมผัสดินและน้ำโดยตรง หากจำเป็นควรสวมรองเท้าบูท ถุงมือยาง หรือชุดลุยน้ำ
- ทำความสะอาดร่างกาย: ล้างมือและทำความสะอาดร่างกายด้วยสบู่ และน้ำสะอาดทันทีหลังสัมผัสดินหรือน้ำ
- ดูแลบาดแผล: หากมีบาดแผลที่ผิวหนัง ควรรีบทำความสะอาดด้วยยาฆ่าเชื้อ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสดินจนกว่าแผลจะหายสนิท
- เลือกรับประทานอาหาร: รับประทานอาหารที่ปรุงสุกและดื่มน้ำต้มสุกหรือน้ำบรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน
- รีบพบแพทย์: หากมีไข้สูงต่อเนื่อง 2 วัน ร่วมกับมีประวัติการสัมผัสดินและน้ำ ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัย
https://www.shutterstock.com/image-photo/b-pseudomallei-usually-produces-flat-wrinkled-1092733718
อ้างอิง
https://www.cell.com/trends/microbiology/fulltext/S0966-842X(23)00205-6