ผู้ป่วยปลอดเชื้อ HIV รายที่ 7 ของโลก หลังการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ ขยายหวังใหม่รับวันเอดส์โลก
Science News Categories
Publish date
02/12/2025
Image
7th Person Cured Of HIV After Stem Cell Donation

วงการแพทย์ทั่วโลกได้รับข่าวดีครั้งสำคัญ เมื่อผู้ป่วยชายอายุ 60 ปี ซึ่งติดเชื้อ HIV และป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ได้หายจากการติดเชื้อ HIV อย่างสมบูรณ์หลังการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ แม้ว่าเซลล์ผู้บริจาคจะไม่ได้มีความต้านทาน HIV เต็มรูปแบบเหมือนผู้ป่วยที่เคยหายจาก HIV ในอดีต

 

ในช่วงสัปดาห์ของวันเอดส์โลก (World AIDS Day) ซึ่งจัดขึ้นทุกวันที่ 1 ธันวาคมของทุกปี วงการวิทยาศาสตร์ได้รับข่าวดีครั้งสำคัญจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature ระบุว่า ผู้ป่วยชายวัย 60 ปีในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ได้เข้าสู่ภาวะปลอดเชื้อ HIV อย่างต่อเนื่องกว่า 6 ปี หลังการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ แม้ผู้บริจาคจะไม่ได้มียีน CCR5Δ32 แบบคู่ (homozygous) ซึ่งต้านทาน HIV ได้โดยธรรมชาติ และเคยถูกเชื่อว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดในการรักษาให้หายขาด

 

ผู้ป่วยรายนี้ ซึ่งนักวิจัยเรียกว่า “Berlin patient 2” (B2) ได้รับสเต็มเซลล์เพื่อรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันแบบไมอีลอยด์ (Acute myeloid leukemia: AML) ในปี 2015 และตัดสินใจหยุดยาต้านไวรัส (ART) ในปี 2018 และจนถึงวันนี้กว่า 6 ปี ไม่พบร่องรอยของไวรัส HIV ใด ๆ ทั้งในเลือดและเนื้อเยื่อระบบทางเดินอาหาร โดยการตรวจละเอียดระดับโมเลกุลไม่พบไวรัสที่สามารถแบ่งตัวได้อีกต่อไป

 

ผู้ป่วย HIV ที่เคยหายขาดก่อนหน้านี้มักได้รับสเต็มเซลล์จากผู้บริจาคที่มียีน CCR5Δ32 แบบคู่ (homozygous) ซึ่งทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันมีความต้านทาน HIV โดยธรรมชาติ แต่ B2 ได้รับสเต็มเซลล์จากผู้บริจาคที่มี CCR5Δ32 เพียงหนึ่งข้าง (heterozygous) ซึ่งยังมี CCR5 ปกติอยู่ นั่นหมายความว่า เซลล์ยังสามารถติดเชื้อ HIV ได้ในทางทฤษฎี อย่างไรก็ตาม ในการติดตามยาวนานหลายปี ไม่พบไวรัสที่ยังแบ่งตัวได้ (replication-competent HIV) และระดับภูมิคุ้มกันจำเพาะต่อ HIV ลดลงเรื่อย ๆ ซึ่งสะท้อนว่าไม่มีไวรัสหลงเหลือกระตุ้นร่างกาย นอกจากนี้ แบบจำลองทางคณิตศาสตร์คาดว่าโอกาสกลับมาของไวรัสภายใน 6 ปี ต่ำกว่า 0.1% ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การมีสเต็มเซลล์ที่มีความต้านทาน HIV โดยกำเนิดนั้น อาจไม่ใช่เงื่อนไขจำเป็นอีกต่อไปสำหรับการรักษาให้หายขาด

 

งานวิจัยเสนอว่าสิ่งสำคัญในการรักษาอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับยีนที่มีการกลายพันธุ์แบบคู่ (CCR5Δ32/Δ32) เพียงอย่างเดียว แต่อาจมีหลายกลไกสำคัญที่ร่วมกันทำให้ไวรัสหายไป ทั้งผลจาก Graft-versus-reservoir effect ที่สเต็มเซลล์ของผู้บริจาคเข้าไปสร้างระบบภูมิคุ้มกันใหม่ในร่างกายผู้ป่วย และกำจัดเซลล์เดิมของผู้ป่วยที่ยังมีไวรัสหลบซ่อนอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเองที่ทำงานสูงมากช่วงเข้ารับการปลูกถ่าย ตลอดจนการที่ผู้ป่วยเองก็มียีน CCR5Δ32 หนึ่งข้าง (heterozygous) แม้จะไม่มีความต้านทาน HIV แบบสมบูรณ์ แต่ก็อาจช่วยลดจำนวนช่องทางที่ไวรัสใช้เข้าสู่เซลล์ และลดความเร็วในการแพร่กระจายของไวรัสได้ ทั้งหมดนี้ทำให้วงการวิจัยมีความหวังใหม่ว่า การรักษา HIV แบบปลอดยา (ART-free remission) อาจทำได้โดยไม่จำเป็นต้องรอผู้บริจาคที่มียีนแบบหายาก (CCR5Δ32/Δ32) อีกต่อไป

 

แม้จะเป็นก้าวสำคัญของการรักษา HIV แต่แพทย์และนักวิจัยย้ำว่าการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ยังเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงสูงมาก ควรใช้รักษามะเร็งในเลือดเท่านั้น ผู้ติดเชื้อ HIV ที่ไม่ป่วยโรคเลือดยังควรใช้ยาต้านไวรัส (ART) ซึ่งปลอดภัยและควบคุมเชื้อได้ดี โดยแนวทางการรักษาในอนาคตอาจรวมถึงภูมิคุ้มกันบำบัดผสมผสาน การแก้ไขยีน และวัคซีนรุ่นใหม่ที่กำลังอยู่ระหว่างการศึกษา

 

วันเอดส์โลก ได้ถูกตั้งขึ้นเพื่อรณรงค์ยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อเอดส์ เป็นวันที่ทั่วโลกระลึกถึงผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์ ส่งเสริมการป้องกัน และผลักดันให้การวิจัยเพื่อค้นหาวิธีรักษายังคงก้าวหน้าต่อไป ความสำเร็จจากงานวิจัยนี้ถือเป็นอีกก้าวแห่งความหวังว่า ในอนาคตการรักษา HIV ให้หายอาจไม่จำกัดอยู่เฉพาะผู้บริจาคที่หายาก แต่มีแนวทางรักษาที่อาจเข้าถึงง่ายขึ้น และความรู้ใหม่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันอาจนำไปสู่ยุคที่ HIV ไม่ใช่โรคเรื้อรังตลอดชีวิตอีกต่อไป

 

อ้างอิง
https://www.nature.com/articles/s41586-025-09893-0
Man unexpectedly cured of HIV after stem cell transplant
7th Person Cured Of HIV After Stem Cell Donation Offers Hope Of Expanded Treatment Options

 

ค้นคว้าเพิ่มเติม 
Tracing the evolutionary history of the CCR5delta32 deletion via ancient and modern genomes

 

Created by
เรียบเรียงโดย แก้วนภา ชวาร์ซ กองสื่อสารวิทยาศาสตร์ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ