ไขปริศนาเพศไดโนเสาร์จากการร่วมรัก
Science News Categories
Publish date
25/12/2025
Image
1

นักบรรพชีวินวิทยาพบรอยแตกบนกระดูกหางของไดโนเสาร์ปากเป็ด ซึ่งอาจเกิดจากพฤติกรรมการผสมพันธุ์ การค้นพบนี้นำไปสู่แนวคิดใหม่ในการระบุเพศของไดโนเสาร์จากหลักฐานทางกายภาพ

 

หนึ่งในปริศนาที่ยากที่สุดของวงการบรรพชีวินวิทยา คือคำถามที่ว่า โครงกระดูกนี้เป็นตัวผู้หรือตัวเมีย เพราะกระดูกไดโนเสาร์ส่วนใหญ่นั้นแทบไม่มีความแตกต่างกันเลย แต่ล่าสุดทีมนักบรรพชีวินวิทยาอาจค้นพบกุญแจดอกสำคัญที่ซ่อนอยู่ในรอยแตกร้าวของฟอสซิล ซึ่งนำไปสู่คำตอบที่คาดไม่ถึง เบาะแสสำคัญมาจากไดโนเสาร์ปากเป็ด (Hadrosaur) เมื่อทีมวิจัยสังเกตพบความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นซ้ำๆ บนกระดูกหางบริเวณส่วนต้นถึงส่วนกลาง สิ่งที่พบคือปุ่มกระดูกสันหลังส่วนบน หรือ Neural spines ซึ่งเป็นกระดูกที่ยื่นสูงขึ้นมาจากสันหลัง มีลักษณะแตกหัก บิดเบี้ยว และผิดรูป แต่จุดที่น่าสังเกตที่สุดคือรอยเหล่านี้เป็นแผลเป็นที่มีการสมานตัวแล้ว แสดงว่าเจ้าของโครงกระดูกไม่ได้ตายเพราะเหตุนี้ แต่ทนอยู่กับมันมานาน แถมบางตัวยังมีรอยแผลซ้ำๆ ในจุดเดิมอีกด้วย


เดิมทีรอยพวกนี้มักถูกมองว่าเป็นผลจากการต่อสู้กับนักล่า หรืออุบัติเหตุทั่วไป แต่ทีมวิจัยไม่ปักใจเชื่อแบบนั้น ผลการศึกษาที่เผยแพร่เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2568 ในวารสาร iScience ซึ่งนำเทคโนโลยีทางวิศวกรรมที่เรียกว่า Finite Element Analysis มาสร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์เพื่อจำลองแรงกด ผลการจำลองจากคอมพิวเตอร์ระบุชัดเจนว่า แรงที่ทำให้กระดูกหางหักในลักษณะนี้ ไม่ได้เกิดจากการถูกกัด หรือถูกฟาดด้านข้างซึ่งมักเกิดจากการต่อสู้ แต่เกิดจากแรงกดมหาศาลจากด้านบนที่กดทับลงมาบริเวณสะโพกและโคนหางอย่างต่อเนื่อง เมื่อนำตำแหน่งของรอยร้าวมาเทียบกับหลักกายวิภาค มันตรงกับตำแหน่งของ ช่องเปิดโคลอาคา (Cloaca) หรืออวัยวะสืบพันธุ์พอดิบพอดี คำตอบจึงเหลือเพียงหนึ่งเดียว ... แรงกดมหาศาลจากด้านบนนั้น คือน้ำหนักตัวของไดโนเสาร์ตัวผู้ขนาดหลายตันที่ขึ้นขี่หลังเพื่อทำการผสมพันธุ์ ความรุนแรงของกิจกรรมนี้หนักหน่วงมากพอที่จะทำให้กระดูกสันหลังส่วนหางของตัวเมียรับภาระไม่ไหวจนเกิดการแตกหัก แต่พวกมันก็แข็งแกร่งพอที่จะรอดชีวิตและรักษาแผลนั้นให้หายเองได้ตามธรรมชาติ


ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การจำแนกเพศของไดโนเสาร์ยังคงเป็นปริศนาที่นักบรรพชีวินวิทยาพยายามคลี่คลาย ผ่านการสังเกตความแตกต่างเพียงเล็กน้อยทางสัณฐานวิทยา ซึ่งมักให้ผลที่ไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม การค้นพบรอยร้าวบนกระดูกหางในครั้งนี้นับเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สำคัญ เพราะได้เปลี่ยนจากการคาดคะเนทางทฤษฎี มาเป็นร่องรอยทางกายภาพที่จับต้องได้ และถูกบันทึกไว้จากประสบการณ์การดำรงชีวิตจริงของไดโนเสาร์เอง

 

 

ตัวอย่างฟอสซิลไดโนเสาร์กลุ่มแฮดโรซอริดที่นำมาศึกษา ได้แก่
Olorotitan arharensis (AEHM 2/845) (A), Hypacrosaurus stebingeri (MOR 549) (B), cf. Edmontosaurus (MOR 3003) (C), cf. Edmontosaurus (TMP 1970.018.0001) (D), แฮดโรซอริดไม่ระบุชนิด (AMNH FARB 5426) (E), Edmontosaurus sp. (RAM 7150) (F), cf. Brachylophosaurus (BDM 003) (G), Amurosaurus riabinini (AEHM 1/304–310) (H) และ Edmontosaurus annectens (AMNH FARB 5886) (I)
ภาพ B และ G ถูกกลับด้านเพื่อให้เปรียบเทียบได้ชัดเจน แถบสีแดงแสดงตำแหน่งของกระดูกสันหลังส่วนหางที่มีความผิดปกติ เส้นประสีดำแสดงจุดเปลี่ยนจากกระดูกหางส่วนต้นไปสู่ส่วนกลาง ซึ่งสังเกตได้จากการหายไปของปุ่มยื่นด้านข้าง ส่วนแถบสีเขียวเน้นตำแหน่งที่คาดว่าเป็นบริเวณของทวารร่วม (cloaca)
สเกล 50 เซนติเมตร
ที่มาภาพ Bertozzo et al., 2025, iScience 28, 113739

 


ภาพแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างไดโนเสาร์กินพืชกลุ่มแฮดโรซอริด (A-i และ B-i) กับผู้ล่า (A-ii / iii และ B-ii / iii) ของพวกมันในแหล่งฟอสซิลต่าง ๆ โดยหลักฐานจากรอยกัดบริเวณหางชี้ว่า ไทแรนโนซอริด (B-iii) มักกัดเฉพาะส่วนสั้น ๆ ของกระดูกสันหลังหาง ขณะที่ตัวอย่างฟอสซิลบางชนิดไม่พบความผิดปกติของกระดูก (C และ D) ซึ่งช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมการล่าและปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ล่าและเหยื่อในระบบนิเวศยุคไดโนเสาร์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สเกล 10 เซนติเมตร

ที่มาภาพ Bertozzo et al., 2025, iScience 28, 113739

 

อ้างอิง
Bertozzo et al., 2025, Deciphering causes and behaviors: A recurrent pattern of tail injuries in hadrosaurid dinosaurs, iScience 28, 113739, November 21, 2025  https://doi.org/10.1016/j.isci.2025.113739 

 

Created by
เรียบเรียงโดย ศักดิ์ชัย จวนงาม กองสื่อสารวิทยาศาสตร์ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ