ทีมนักวิจัยไทยได้ประกาศการค้นพบและจำแนกพืชชนิดใหม่ของโลกในวงศ์ขิงข่า (Zingiberaceae) ซึ่งถูกค้นพบในจังหวัดกาญจนบุรี ภาคตะวันตกของไทย โดยมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Kaempferia grandis Noppornch. และได้รับการเสนอชื่อภาษาไทยว่า "เปราะยักษ์เขียว"
การค้นพบนี้เป็นผลงานของ ดร.ณัฐพล นพพรเจริญกุล จากองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) และ คุณชานนท์ ลิมทโรภาสจาก Adiantum Time Nursery โดยได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ Annales Botanici Fennici เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2568
ดร.ณัฐพล นพพรเจริญกุล และ "เปราะยักษ์เขียว" ในถิ่นที่อยู่อาศัย
"เปราะยักษ์เขียว" (Kaempferia grandis Noppornch.) ถูกจัดอยู่ในสกุล Kaempferia สกุลย่อย Kaempferia เป็นพืชถิ่นเดียว ปัจจุบันพบเฉพาะที่ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี โดยมีถิ่นอาศัยเฉพาะตัว คือเติบโตบนดินร่วนปนหินปูนที่ผุพัง หรือตามรอยแตกของหน้าผาหินปูน ในพื้นที่ป่าเบญจพรรณผสมป่าไผ่ที่มีร่มเงา บริเวณใกล้ลำห้วย ที่ระดับความสูง 120–135 เมตรจากระดับน้ำทะเล
"เปราะยักษ์เขียว" เติบโตตามรอยแตกของหน้าผาหินปูน และพื้นที่ป่าเบญจพรรณ
"เปราะยักษ์เขียว" เป็นพืชที่มีลำต้นเทียมโผล่พ้นดิน จำนวน 1 - 4 ลำต้นต่อกอ แต่ละลำต้นที่โผล่พ้นดินจะประกอบด้วย ใบเดี่ยวเพียง 1 ใบ เท่านั้น โดยแผ่นใบแผ่แนบไปกับพื้นผิววัสดุ มีลักษณะรูปไข่กว้างถึงเกือบกลม โดยมีขนาดที่น่าทึ่งคือ กว้าง 28 – 40 ซม. และยาว 28 – 45 ซม. พืชชนิดนี้จะออกดอกในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม และจะพักตัวในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน
ความใหญ่ของขนาดใบเมื่อเทียบกับมือของนักวิจัย
จากการสังเกตการณ์ในภาคสนาม พบแมลงที่น่าสนใจ 2 ชนิด คือ ผึ้ง (Lasioglossum sp.) ซึ่งคาดว่าเป็นแมลงช่วยผสมเกสร และ ด้วงน้ำมันแถบเหลืองขนาดใหญ่ (Mylabris phalerata) ซึ่งถูกพบว่ากำลังกัดกินดอกเป็นอาหาร
ด้วงน้ำมันแถบเหลืองขนาดใหญ่ (Mylabris phalerata) กำลังกัดกินดอกของ "เปราะยักษ์เขียว"
"เปราะยักษ์เขียว" เป็นที่รู้จักเฉพาะจากแหล่งตัวอย่างต้นแบบ (type locality) เพียงแห่งเดียวเท่านั้น แม้จะมีการสำรวจพบประชากรโตเต็มวัยราว 1,000 ต้น แต่พื้นที่ดังกล่าวนั้นตั้งอยู่นอกเขตพื้นที่คุ้มครองตามกฎหมาย ในขณะนี้ทีมนักวิจัยจึงเสนอให้ประเมินสถานะการอนุรักษ์ของพืชชนิดนี้ตามเกณฑ์ของ IUCN ไว้ที่ "ข้อมูลไม่เพียงพอ" (Data Deficient - DD) เพื่อรอการศึกษาสำรวจเพิ่มเติมในอนาคต
โครงสร้างและส่วนประกอบต่าง ๆ ของ "เปราะยักษ์เขียว"
การค้นพบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพ เนื่องจากประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในศูนย์กลางความหลากหลายหลักของพืชสกุลนี้ โดยเป็นที่อยู่ของพืชสกุลเปราะถึง 46 ชนิด และในจำนวนนี้ประมาณ 20 ชนิดเป็นพืชถิ่นเดียว (endemic species) ของไทย